วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทสวดบูชาพระนารายณ์

คาถาบูชาพระวิษณุ
ภาพเขียนพระวิษณุประทับพญาครุฑ หรือ นารายณ์ทรงครุฑ อันงดงามตระการตา
ก่อนการสวดบูชาต่อพระวิษณุ
ต้องสวดมนต์ต่อพระพิฆเนศก่อนเสมอ

เมื่อได้กระทำการสวดบูชาพระวิษณุด้วยจิตที่ตั้งมั่นและหมั่นทำความดีอยู่เสมอ พระองค์จะประทานความสุข ความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นพระเจ้าผู้ช่วยเหลือให้ผู้บูชาฟันฝ่าอุปสรรค ช่้วยแก้ไขปัญหา ประทานอำนาจบารมี และคุ้มครองชีวิตให้ปลอดภัย
บทสวดมนต์พระวิษณุนารายณ์นั้นมีหลายบท ให้เลือกสวดได้ดังต่อไปนี้

- โอม ศรี มัณ นารายะณายะ นะมะห์ (สามจบ)
- โอม นะโม ภะคะวะเต วาสุเทวายะ (สามจบ)

- โอม วิษณุเว นะมะห์ (สามจบ)

- โอม ศานตะการัม ภุชะคะศะยะนัม ปัทมะนาภัม สุเรศัม
วิศวาธารัม คะคะนะสัมทะริศัม เมฆะวะระณัม ศุภางคัม
ลักษมีกานธัม กามะละนะยะนัม โยคิภี ธยานะกัมยัม
วันเทวิษณุม ภะวะภะยาหะรัม สะระวะ โลกัย กะนาทัม ฯ (หนึ่งจบ)

- โอม สะศางขะจักกะรัม สะกิริตะ กุณทะลัม
สะปิตะวัสตรัม สะระสีรูเหษะณัม
สะหาระวักษะสถะละ เกาสะตุภะ ศะริยัม
นะมามิ วิษณุม ศิระสา จตุรภุชัม ฯ (หนึ่งจบ)

- โอม นารายะนายะ วิทมะเห
วาสุเทวายะ ธีมะหิ
ตันโน วิษณุ ประโจทะยาต (หนึ่งจบ)


อ้างอิง http://www.siamganesh.com/lordvishnu.html

พระสวามีของพระแม่ลักษมี

ภาพเขียนพระวิษณุมหาเทพประทับบนดอกบัว
พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ คือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นหนึ่งใน 3 มหาเทพสูงสุด อันได้แก่ พระพรหม-พระวิษณุ-พระศิวะ

พระพรหม 
หรือ พระพรหมมา เป็นมหาเทพ ผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
พระวิษณุ 
หรือ พระนารายณ์ เป็นมหาเทพ ผู้ดูแลรักษาทุกสรรพสิ่ง
พระศิวะ 
หรือ พระอิศวร เป็นมหาเทพ ผู้ทำลายทุกสรรพสิ่ง

มหาเทพทั้ง 3 พระองค์นี้ เมื่อรวมกันจะเรียกว่า พระตรีมูรติ องค์พระเป็นเจ้าแห่งพลังอำนาจทั้งสามประการ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง

พระวิษณุ
 ทรงมีเทวานุภาพขจัดเหล่ามารและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง พระองค์ทรงคุ้มครองทุกสรรพชีวิต ทรงบันดาลอำนาจวาสนาแก่มนุษย์ทุกคนที่ระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ อสูรและเหล่ามารทุกตนล้วนแล้วแต่เกรงกลัวอานุภาพแห่งพระองค์ 

พระวิษณุยังอวตารไปเป็น พระกฤษณะ (มหาเทพผู้ให้กำเนิดคัมภีร์ภควัทคีตา ในมหากาพย์เรื่องมหาภารตะ) 

อวตารไปเป็น พระราม (มหาเทพแห่งความยุติธรรม ในมหากาพย์รามายณะ หรือ รามเกียรติ์)

และ อวตารไปเป็น พระพุทธเจ้า (ก่อให้เกิดศาสนาพุทธในภายหลัง ตามปุราณะของศาสนาพราหมณ์)

พระวิษณุยังอวตารไปเป็นเทพเจ้าองค์อื่นๆ อีกถึง 10 ปาง (หรือ นารายณ์ 10 ปาง) และอวตารมากกว่า 10 ปางในบางปุราณะ เพื่อภารกิจปกป้องโลกมนุษย์จากอสูรชั่วร้าย


ภาพศิลปะพระวิษณุและพระแม่ลักษมีเทวี

พระวิษณุเทพ มีพระชายาคือ พระแม่ลักษมี พระแม่เจ้าผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ และความผาสุกแก่ผู้ศรัทธา ผู้ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างพระวิษณุ และคอยอวตารไปเป็นชายาพระวิษณุในทุกๆภารกิจ

พระวิษณุ 
เป็นผู้ประทานแสงสว่างส่องกระจายไปยังทุกสากลโลก ทรงล่วงรู้ความเป็นไปทุกอย่าง ทรงล่วงรู้ความนึกคิดภายในจิตใจของสรรพชีวิต ทรงตัดสินปัญหาด้วยสำนึกอันสูงสุดแห่งพระเป็นเจ้า ทรงขจัดบาปและความขัดข้องแก่ผู้ปฏิบัติโยคะและนั่งสมาธิระลึกถึงพระองค์

พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ มักปรากฎให้ประจักษ์ในรูปกายอันงดงามที่สุด ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์สดใส สว่างราวกับทองคำ เรือนร่างประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์อันวิจิตรตระการตา มีความอ่อนโยน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ พระองค์โปรดการเอื้อเฟื้อ โปรดการมอบความสุขแก่มวลมนุษย์ พระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิฐานและการชนะทุกสิ่ง

ที่ประทับของพระวิษณุ
สวรรค์ที่พระวิษณุประทับอยู่นั้น จะอยู่ในมหาสมุทร เรียกว่าเกษียรสมุทร อันเป็น ทะเลน้ำนม ร่วมกับพระชายา (พระแม่ลักษมี) พระองค์จะประทับอยู่ที่นั่นเสมอ และคอยรับฟังปัญหาต่างๆ จากเหล่าฤาษี เทวดา และมนุษย์ ทั้งพระวิษณุและพระแม่ลักษมี จะอยู่เคียงข้างกับผู้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีเสมอ

สัตว์บริวาร
1. พญาครุฑ เป็น พาหนะบริวาร พระวิษณุจะทรงพญาครุฑไปทุกหนทุกแห่ง ยามเสด็จในภารกิจต่างๆ
2. พญานาค เป็น บัลลังค์บริวาร
พระวิษณุจะประทับบนพญานาค ณ เกษียรสมุทร
ในยามว่าง หรือ ขณะบรรทม

ศาสตราวุธ
หรือ อาวุธ แห่งพระวิษณุ ที่ปรากฎให้เห็นบ่อยที่สุด ได้แก่
1. หอยสังข์
2. จักร
3. คฑา
4. พระขรรค์
5. ลูกศร, ธนู
6. ดอกบัว

ศิลปะอินเดียภาพเขียนพระแม่ลักษมีและพระวิษณุประทับบนพญาครุฑ เพื่อเสด็จไปยังที่ต่างๆ

นิกาย
นิกายที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่สูงสุด คือ นิกายไวษณพ และในไวษณพนิกายนี้ ยังแบ่งออกเป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่อีก 3 นิกายหลักๆ จากหลายร้อยนิกาย คือ
1. นิกายที่นับถือพระวิษณุในตัวพระองค์เอง และทุกๆอวตารของพระองค์
2. นิกายที่นับถือพระวิษณุในอวตาร พระกฤษณะ เป็นพิเศษ (ศึกษาคัมภีร์ภจากมหากาพย์มหาภารตะ) 
3. นิกายที่นับถือพระวิษณุในอวตาร พระราม เป็นพิเศษ (ศึกษาคัมภีร์จากมหากาพย์รามายณะ)
4. นิกายที่นับถือพระวิษณุในอวตาร พระพุทธเจ้า เป็นพิเศษ (ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า)
พระวิษณุหรือพระนารายณ์ คือมหาเทพที่ชาวไทยสามารถเห็นได้บ่อยที่สุดและมากที่สุด ในภาพเขียนศิลปะตามประตูและผนังวัดต่างๆ เนื่องจากพระวิษณุเป็นมหาเทพที่กษัตริย์ ราชาในอดีต ทั้งอินเดีย เนปาล พม่า กัมพูชาและไทย ทรงมีพระราชศรัทธามากกว่าเทพองค์อื่นๆ

ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา เมื่อเราเข้าไปยังวัดต่างๆและมองขึ้นไปบนหน้าบัน ก็มักจะเห็นรูปปั้นหรือภาพเขียน พระนารายณ์ทรงครุฑ (หรือ นารายณ์ทรงสุบรรณ) และตัวละครในเรื่อง รามเกียรติ์ อยู่แทบจะทุกแห่ง รวมทั้ง หนุมาน เทพ เทวดา ฤาษี และ ยักษ์ ที่เฝ้าประตูวัดทุกแห่งในประเทศไทย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ในมหากาพย์เรื่องรามเกียรติ์ทั้งสิ้น




อ้างอิง http://www.siamganesh.com/lordvishnu.html

บทสวดบูชาพระแม่ลักษมี

คาถาบูชาพระแม่ลักษมี

ก่อนการสวดบูชาต่อพระแม่ลักษมี
ต้องสวดมนต์ต่อพระพิฆเนศก่อนเสมอ

บทสวดมนต์พระแม่ลักษมีนั้นมีหลายบท เลือกสวดได้ดังต่อไปนี้

- โอม ชยะ ศรี ลักษมี มาตา

- โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา

- โอม มหาลักษมีไย นะมะฮา

- โอม มหาลักษะ มะไย นะโม นะมะหะ
โอม วิษณุ ปริยาไย นะโม นะมะหะ
โอม ธะนะ ประชาไย นะโม นะมะหะ
โอม วิศวะ ชะนันไย นะโม นะมะหะ
( คลิกเพื่อดาวน์โหลดบทนี้ )

- ยา เดวี สารวะ ภูเตชู
ลักษมี รูเปนะ สัม สติตา
นะมัส ตัสไย / นะมัส ตัสไย / นะมัส ตัสไย
นะโม นะมะฮา
( คลิกเพื่อดาวน์โหลดบทนี้ )

- โอม พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ
ทุติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ
ตะติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มะหาลาโภ

- โอม เจ ลักษมี มหามาตา / มะนุสสา อัญชะลี ยะ ปูจา
โอมมหาราณี รีตู ปรารัม / กรุณา ตรี โลคา มาตินัม
อดัม อาสสานุม ปัทมินนี / นะโม ตุสเต เจ โฮมา มาตา กี
เจ โฮมา ลักษมี มา เจ โฮ มา / ลักษมี มา มหา ลักษมี มาตากี
โอม นมัสสักกา โอม มหาลักษมีเทวี ศักติ โอม

- โอม ชยะตี ชคะนิธิวะตี ภาคยะวตี
ธะนะวันตี ชยะ ชลละชะ วิลาสินี
คตะมหานะ วิจรัญตี ชยะ ศรี กะมะเล
หะริปรีเย ชลละนิธิ ตนะเย
อัมพา วิณาวัตตะ สุนทระทาสา อิกะมานะ
เตระหินะ อวะลัมพา ฯ
- โอม ลักษมีกานตัม กะมะลา นะยานัม
โยคิภิรัทยา นะคัมยัม วันเทวิษณุม
ภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกะนาถัม

- โอม ศานตาการัม ภูชะคะสะยะนัม
ปัทมานาภัม สุเรศัม วิศวาธารัม
คะคะนะสะทฤศัม เมฆะวรรณัมศุภางคัม
ลักษมีการตัมกะมะกะละนะยะนัม
โยคิภีระธยานะคัมมะยัม
วันเทวิษณุ ภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกานาถัม

- โอม นะมัสศิโรเม เตาเลหะมาละ
สะลามะมาเรกุลา อาตะคัจฉะ มาลายะเฮ
ดุนนะยะโฮ กะโฮนะฮีนะ
ตุนนะฮี ยะวานะระโฮ ดูบัมบารา อาดัมบารา
นะฮีนะ นะโฮนะ วายะฮี
ลักษมีเดาเลาะหะมาล อาคัจชะมาฮาล อะสุราฮาล
ทะชัชชะมาฮาล ทะชัชชะมาฮาล ทะชัชชะมาฮาละ ปูชิตตะวา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระแม่ลักษมีทั้ง 8 ปาง



อ้างอิง http://www.siamganesh.com/laksmi8devi.html

พระแม่ลักษมีทั้ง 8 ปางและปางอื่น ๆ

พระแม่ลักษมีทั้ง 8 ปางและปางอื่นๆ

                                      คชลักษมี
ปางหลักแห่งองค์พระแม่ลักษมีเทวี ปางนี้มีทั้งยืนและประทับนั่งบนดอกบัว มี 4 พระกร สวมอาภรณ์สีสันสวยงามล้วน สองพระกรหลังถือดอกบัว ยกพระหัตถ์ประทานพรและโปรยเหรียญทอง ประทานพรความสำเร็จทั้งการงาน การเงิน ความรักแก่ผู้บูชา เป็นปางที่พบเห็นได้มากที่สุดในภาพเขียน (พบเทวรูปอยู่ทั่วไป มีลักษณะเดียวกับปางอิศวารยะลักษมี)
อิศวารยะลักษมี
ปางแห่งความกล้าหาญชาญชัย ปางนี้มีทั้งยืนและประทับนั่งบนดอกบัว มี 4 พระกร สวมอาภรณ์สีขาวล้วน สองพระกรหลังถือดอกบัว พระกรหน้ายกและหงายพระหัตถ์ 2 ข้างเพื่อประทานพร ผู้บูชาจะได้รับความกล้าหาญ กล้าคิดกล้าทำ เป็นปางแห่งชัยชนะและโชคลาภด้านความเสี่ยงทุกประเภท (พบเทวรูปอยู่ทั่วไป มีลักษณะเดียวกับปางคชลักษมี)
***** ความแตกต่างระหว่าง คชลักษมี และ อิศวารยะลักษมี *****
ลักษณะเหมือนกันทุกประการ แต่พระคชลักษมีมีช้างเป็นบริวาร นิยมสวดชุดสีชมพูหรือสีแดง พระอิศวารยะลักษมีไม่มีช้างบริวารและนิยมสวมชุดสีขาวสะอาดหรือสีอ่อนๆ
ธัญญลักษมี
ปางแห่งความอุดมสมบูรณ์ในพืชพรรณ พืชไร่ นา สวน ป่าไม้ ดอกไม้ ปางนี้มี 8 พระกร แต่ละพระกรทรงพืชพรรณต่างๆกัน เช่น ต้นข้าว ปางนี้พระแม่ลักษมีลงมาปรากฏเพื่อโปรดสรรพมนุษย์ที่ทำกินเพาะปลูกบนผืนแผ่นดิน เช่น เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ผู้บูชามักขอพรให้การเพาะปลูกมีผลผลิตงอกงาม ชาวไทย ลาว และเขมรรู้จักกันในนามของ "พระแม่โพสพ" (สามารถบูชาพระแม่ธัญญลักษมีได้กับพระแม่โพสพ)
ธนลักษมี
ปางแห่งทรัพย์สมบัติ เงินทอง มี 6 หรือ 8 พระกร ทรงศาสตราวุธต่างๆเช่น หอยสังข์ จักร ธนู ดอกบัว โถอัญมณี ยกพระหัตถ์ประทานพรและโปรยเหรียญทอง ประทานความรำรวยในทรัพย์สินเงินทองแก่ผู้บูชา (หากต้องการบูชา จะพบแต่ภาพเขียน ไม่ค่อยปรากฎผู้สร้างเทวรูปปางนี้เท่าใดนัก)
อาทิลักษมี
ปางแห่งความสำเร็จในการงานและการบุกเบิก มี 4 พระกร ทรงดอกบัว ธงไชย พระกรหน้ายกและหงายพระหัตถ์ 2 ข้างเพื่อประทานพร ให้พรด้านการทำงาน การทำมาหาเลี้ยงชีพ จะเป็นไปด้วยความราบรื่น (หากต้องการบูชา จะพบแต่ภาพเขียน ไม่ค่อยปรากฎผู้สร้างเทวรูปปางนี้เท่าใดนัก)
วิทยะลักษมี
ปางแห่งปัญญา ความรอบรู้ การศึกษาเล่าเรียน ปางนี้เทียบเท่าได้กับปัญญาแห่งพระแม่สุรัสวดี มี 8 พระกร ผู้บูชาจะได้รับสติปัญญาที่เลิศล้ำ ทั้งศาสตร์วิทยาการอันก้าวหน้าและศิลปะทุกแขนง (หากต้องการบูชา จะพบแต่ภาพเขียน ไม่ค่อยปรากฎผู้สร้างเทวรูปปางนี้เท่าใดนัก)
วีระลักษมี
ปางแห่งวีรชน นักสู้ ผู้มีพละกำลังอันไม่มีที่สิ้นสุด ปางนี้เทียบเท่าได้กับพละกำลังแห่งพระแม่ทุรกา มี 8 พระกร ทรงคันธนู ศร สังข์ ดาบ และศาสตราวุธอื่นๆ ยกพระหัตถ์ประทานพร ผู้บูชาจะได้รับพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น (หากต้องการบูชา จะพบแต่ภาพเขียน ไม่ค่อยปรากฎผู้สร้างเทวรูปปางนี้เท่าใดนัก)
วิชัยยะลักษมี
ปางแห่งชัยชนะและความแคล้วคลาดพ้นภัย มี 8 พระกร ทรงหอยสังข์ มีด ดาบ ตะบองหรือขวาน มีอานุภาพในการขจัดศัตรู ประทานความมียศถาบรรดาศักดิ์และการสรรเสริญจากผู้คน ประทานความสำเร็จทุกประการ (หากต้องการบูชา จะพบแต่ภาพเขียน ไม่ค่อยปรากฎผู้สร้างเทวรูปปางนี้เท่าใดนัก)
สันทนะลักษมี
ปางแห่งครอบครัว ความผูกพันระหว่างแม่ลูก ความอบอุ่นในครอบครัวรวมถึงการขอพรให้มีลูก-ทายาท ลูกหลานเชื่อฟังคำสั่งสอนและเติบโตอย่างแข็งแรง ปางนี้มีอานุภาพเทียบเท่ากับพระพิฆเนศปางบาละคเณศ (พระคเณศปางเด็ก) มี 6 พระกร ทรงดาบ พระกรหลังทรงหม้อทั้ง 2 ข้าง อุ้มเด็กชายนั่งบนตัก (หากต้องการบูชา จะพบแต่ภาพเขียน ไม่ค่อยปรากฎผู้สร้างเทวรูปปางนี้เท่าใดนัก)
เมธาลักษมี
ปางแห่งพลังอำนาจอันรุนแรง เปรียบได้กับพลังแห่งพระแม่กาลี
(ระหว่างค้นคว้าข้อมูล)
กิรติลักษมี
ปางแห่งชื่อเสียง การสรรเสริญและปางแห่งความซื่อสัตย์จงรักภักดี
(ระหว่างค้นคว้าข้อมูล)
อโรคยาลักษมี
ปางแห่งความปลอดภัยในชีวิต ความไร้โรคและการเดินทางปลอดภัย
(ระหว่างค้นคว้าข้อมูล)
สัมราชยลักษมี
ปางแห่งความหลุดพ้นจากบาป การมีอิสรภาพทางวิญญาณและบรรลุโมกษะ
ไชยลักษมี
ปางแห่งชัยชนะ ลักษณะเช่นเดียวกับปางวิชัยยะลักษมี
(ระหว่างค้นคว้าข้อมูล)
ภัคยาลักษมี
ปางแห่งพระเวท การทำสมาธิและความศักดิ์สิทธิ์ พลังเหนือธรรมชาติ
(ระหว่างค้นคว้าข้อมูล)
เสาวนาทรียะลักษมี
ปางแห่งความงดงามของสตรีเพศ ความสะอาดสะอ้าน อ่อนช้อย มีเสน่ห์
(ระหว่างค้นคว้าข้อมูล)
ไทรยะลักษมี
ปางแห่งการสวดมนต์ พิธีกรรม ภักดีโยคะ ประทานมนตราอันศักดิ์สิทธิ์แก่เหล่าฤาษี
สิทธะลักษมี
ปางแห่งความนิ่งสงบ จิตวิญญาณ และการเข้าถึงคำสอนของมหาเทพ
(ระหว่างค้นคว้าข้อมูล)

ประวัติพระแม่ลักษมี

พระแม่ลักษมี คือเทวีแห่งความงดงาม ความร่ำรวย และความอุดมสมบูรณ์ พระองค์มักประทานความสำเร็จในการประกอบกิจการ การเจรจาต่อรอง การทำมาค้าขาย การประกอบธุรกิจทุกสาขา ตลอดจนประทานโภคทรัพย์ เงินทอง สมบัติ แก่ผู้หมั่นบูชาพระองค์และประกอบความดีอยู่เป็นนิจ

พระแม่ลักษมี 
มีกำเนิดจากฟองน้ำ ในคราวเทวดาและอสูรกวนเกษียรสมุทร ทำน้ำอมฤต จึงได้นามว่า ชลธิชา (เกิดแต่น้ำ) หรือ กษีราพธิตนยา (ลูกสาวแห่งทะเลน้ำนม) 

ในขณะที่ผุดขึ้นมานั้นนั่งมาในดอกบัวและมือถือดอกบัวด้วย จึงมีอีกนามหนึ่งว่า ปัทมา หรือ กมลา แต่ในคัมภีร์วิษณุปุราณะจะกล่าวไว้ว่า พระแม่ลักษมีเป็นธิดาของพระฤาษีภฤคุกับนางขยาติ และยังกล่าวต่อไปอีกว่าพระแม่ลักษมีเป็นมารดาพระกามเทพ ด้วย

พระแม่ลักษมี ผู้ศรัทธาจะถือกันว่าเป็น เทพนารีผู้อำนวยโชคมีน้ำพระทัยเมตตาปราณีอยู่เป็นนิจ เป็นตัวอย่างแห่งนางที่งามตลอดทั้งรูปและกิริยามารยาท มีวาจาเปี่ยมด้วยเสน่ห์และไพเราะ ทั้งถือกันว่าเป็นผู้นำมาซึ่งความเจริญทุกประการ นับกันว่าเป็นผู้อุปถัมภ์บรรดาสตรีทุกชั้น ส่วนรูปมักเขียนเป็นสตรีที่งามยิ่งมี 2 กรอย่างธรรมดา (บางแห่งก็ว่ามี 4 กร) สีกายเป็นสีทองเสื้อทรงสีเหลือง นั่งหรือยืนบนดอกบัวและมือถือดอกบัว


อนึ่งพระแม่ลักษมีมักจะอวตารไปเป็นชายาของพระวิษณุ (พระนารายณ์ผู้ดูแลรักษาโลก) อยู่ทุกครั้งไป เช่น พระวิษณุอวตารเป็น พระราม พระแม่ลักษมีก็ตามไปเกิดเป็น พระนางสีดาในปางกฤษณาวตาร พระวิษณุอวตารเป็น พระกฤษณะ พระแม่ลักษมีก็ไปเป็น พระนางรุกมิณี หรือ พระนางราธาเทวี
ในปางปรศุรามาวตารก็ไปอวตารเป็น พระแม่ธรณี ในปางวามนาวตารก็อวตารไปเป็น พระนางกมลา เป็นต้น

คติความเชื่อถือเกี่ยวกับพระแม่ลักษมีในเมืองไทยอาจเห็นว่า ไม่พบมากนักนอกจากปรากฏในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ที่เสด็จอวตารลงมาเป็นนางสีดาในรามาวตาร ซึ่งเป็นชนวนเหตุของการรบ ระหว่างทศกัณฐ์ กับพระราม นอกจากนั้นก็ไม่พบได้เด่นชัดนัก

อนุมานอยู่เรื่องหนึ่งที่น่ามีเค้ามาจากพระแม่ลักษมี ตามคติอินเดียก็คือ พระแม่โพสพ เทวีแห่งพืชพันธุ์ ธัญญาหารซึ่งคติอินเดีย นั้นเป็นอวตารของพระแม่ลักษมี ในคติลักษมีแปดปางที่ชื่อ ปางธัญญลักษมี มีเทวลักษณะ 4–6 พระกร ขึ้นกับจิตรกรจะวาดออกมา โดยพระหัตถ์ทั้งสองด้านจะทรงรวงข้าวและธัญพืช

ส่วนแม่โพสพของไทยเรานั้น สันนิษฐานมาจากสองคติ คือ ทางหนึ่งมาจาก ธัญญลักษมี ที่กล่าวมา (ดังรูปด้านขวามือ มีปางหนึ่งชื่อ DHANYA LAKSHMI องค์ที่ทรงอาภรณ์สีเขียว) อีกทางหนึ่งว่า เป็นการแบ่งภาคจากพระพรหม มาเป็นเทพเจ้าแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร โดยการแบ่งภาคนี้หากเป็นเทพบุรุษ ก็เรียกว่า พระไพรศรพณ์ เป็นเทพบุตรรูปงามถือพระขรรค์ ทรงหงส์เป็นสัตว์เทพพาหนะ ส่วน ภาคเทวนารี เป็น พระแม่โพสพ ซึ่งจะเป็นรูปนางงามถือรวงข้าวซึ่งคติอย่างหลังก็น่า จะมาจาก ธัญญลักษมี ของอินเดียเหมือนกัน เพราะตอนที่พระแม่ลักษมีผุดขึ้นตอนกวนเกษียรสมุทร มีพระพรหมเสด็จมารับเป็นเทพผู้ใหญ่ของพระแม่ลักษมี เพื่อเลือกคู่ ซึ่งก็มีการนำเอาพระพรหมมาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้การกำเนิดพระแม่ลักษมีนั้น ก็เป็นเรื่องราวที่เกิดจารีตประเพณีแต่งงานแบบหนึ่งด้วย กล่าวคือความงามที่เลิศกว่าเทวนารีใดก็มีเทพเจ้าและอสูรมากมายที่หมายปอง จนองค์พระพรหมต้องเสด็จมารับและให้นางเลือกคู่ ครองเองจนพระนางเลือกพระวิษณุเป็นเทพสวามี ซึ่งตรงนี้เองเป็นที่มาของพิธีวิวาห์ แบบหนึ่งที่หญิงต้องไปสู่ขอผู้ชายจากผู้ใหญ่ฝ่ายชาย หรือเป็นผู้เลือกฝ่ายชายเป็นสามีเองที่เรียกกันว่า สยุมพร นั่นเอง

ประเพณีนี้ยังคงพบในบางจังหวัดของประเทศไทย อย่างจังหวัดแพร่แถบอำเภอสอง ก็ยังมีประเพณีทำนองนี้ให้พบเห็นอยู่ส่วนจะมาจากคติอินเดียแบบสยุมพรนี้ หรือบังเอิญเป็น ประเพณีพ้อง ก็คงไม่ชี้ชัดไปจะขอเล่าเอาไว้เป็นเนื้อความประกอบเรื่องนี้เท่านั้น

พระแม่ลักษมีเทวีทรงเป็นเทวีแห่งโชคลาภ ที่กล่าวกันว่าทรงอำนาจค้ำจุนอย่างวิเศษ!! มีบันทึกอย่างจารึก Junagdh Inscription ของ Skandagupta กษัตริย์รุ่นปลายของราชวงศ์คุปตะได้กล่าวว่า ด้วยอำนาจแห่งเทวีลักษมีนี่เอง ที่ทรงส่งเสริมอำนาจเทพสวามีคือ พระวิษณุ จนได้ชื่อว่า เทพเจ้าผู้บริหารโลก การบูชาพระแม่ลักษมี จึงมีแพร่หลายทั่วไปในอินเดีย เพราะเชื่อว่าผู้ที่สามารถบูชาจนเป็นที่พอพระทัย เทวีลักษมีจะทรงประทานศิริและความมั่งคั่งให้อย่างน่าอัศจรรย์ใจทีเดียว
ส่วนในประเทศไทยนอกจากคติการบูชาเจ้าแม่โพสพ แล้วก็มีการบูชาพระแม่ลักษมีอยู่บ้าง สำหรับผู้ที่เคารพบูชาตามจารีตฮินดู

สำหรับวันสำคัญ ก็มีหลายวันที่บูชาพระแม่ลักษมีในโอกาสต่างๆกัน อย่างวัน ขึ้น 9 ค่ำ เดือนอัษฐะ (มิถุนายน-กรกฏาคม) เป็นการบูชา พระนางสีดา (ลักษมีอวตาร) ร่วมกับ พระราม และ หนุมาน เรียกว่า วันสีดา นวะมี

หรืออย่างวันแรม 14 ค่ำ เดือนการติก
 (ตุลาคม-พฤศจิกายน) เป็นวัน พิธีแห่งแสงสว่าง เรียกว่า วันดีปาวลี เชื่อว่าพระแม่ลักษมีเทวีจะโปรดประทานความร่ำรวยแก่ผู้บูชาพระนางและยังมีวันอื่นๆ อีกที่กำหนดให้บูชาพระแม่ลักษมีเทวีในโอกาสที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การขอรับพรอันศักดิ์สิทธิ์จากพระนาง ในคุณสมบัติที่พระนางมีอย่างเปี่ยมล้น คือ ศิริ-ความดีงามและความมั่งคั่งร่ำรวยนั่นเอง..


สาระสำคัญทั่วไปเกี่ยวกับพระแม่ลักษมี
(ขอขอบคุณ อ.กิตติ วัฒนะมหาตม์ / หนังสือ ตรีเทวปกรณ์)

เนื่องด้วยพระแม่ลักษมีทรงเป็นเทวีแห่งความงาม ช่างอินเดียจึงมักทำรูปพระนางให้เป็นหญิงที่งดงามที่สุดตามคติอินเดีย 
ตามตำรามักกล่าวกันว่า ทรงมีพระวรกายเป็นสีทอง ทรงพัสตราภรณ์สีเหลือง แดง หรือ ชมพู ประทับนั่งหรือยืนบนดอกบัวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งพระนาง บางครั้งก็ประทับบนหลังช้าง ทรงมี 4 พระกรเมื่ออยู่โดยลำพัง แต่ถ้าประทับร่วมกับพระวิษณุแล้ว ก็ทรงมี ๒ พระกรบ้าง 4 พระกรบ้าง รัศมีแห่งองค์พระแม่ลักษมีนั้น กล่าวกันว่าสุกปลั่งเป็นประกายอย่างสายฟ้าแลบ กลิ่นหอมจากพระวรกายนั้นประหนึ่งกลิ่นดอกบัว หอมจรุงไปไกลถึงหลายร้อยโยชน์
สิ่งที่พระลักษมีทรงถืออยู่ที่เห็นกันบ่อยที่สุด คือ ดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ และมักจะถือไว้ 2 ดอก หรือไม่ก็ทรงถือหม้อน้ำ พระหัตถ์หนึ่ง อีก พระหัตถ์หนึ่งหงายลงสู่พื้น มีเหรียญทองโปรยปรายลงจากใจกลางพระหัตถ์นั้น หรือไม่ก็เทออกมาจากในหม้อ เป็นสัญลักษณ์ของเทวีแห่งโชคลาภและความร่ำรวย บางครั้งก็จะทรงอาวุธบ้าง เช่น จักร อันบ่งความหมายถึงองค์นารายณ์ (พระวิษณุเทพ) นั่นเอง
ในไวษณพนิกาย (ฝ่ายนับถือพระวิษณุเป็นใหญ่) ก็มีตำรากล่าวไว้ว่า เดิมพระวิษณุทรงมีพระชายาถึง 3 พระองค์ คือพระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี และพระแม่คงคา แต่ทั้งสามพระองค์ไม่ยอมลงให้แก่กัน พระวิษณุเทพจึงทรงแก้ปัญหา โดยยกพระสรัสวดีให้พระพรหม และยกพระคงคาให้พระศิวะ ที่แต่งไว้เช่นนี้ ไม่มีจุดประสงค์อย่างอื่น นอกจากมุ่งจะสอนว่าการมีภรรยามากนั้นไม่ดี และผลพลอยได้ก็คือ การอธิบายเช่นนี้สามารถข่มลัทธิไศวะนิกาย และฝ่ายที่บูชาพระพรหม โดยแสดงให้เห็นว่า พระวิษณุเป็นเจ้าทรงเป็นใหญ่ที่สุด เพราะผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะยกทรัพย์สมบัติให้ผู้น้อยได้ แต่เรื่องเช่นนี้ ปัจจุบันไม่ถือเป็นเรื่องจริงจังกันแล้วในประเทศอินเดีย
พาหนะแห่งองค์พระแม่ลักษมีมี คือ ช้าง คนอินเดียถือว่า ช้าง เป็นสัญลักษณ์แห่งบุญญาธิการ พลังอำนาจ และความมั่งคั่ง ดังกำเนิดพระลักษมีที่มีช้างโปรยน้ำถวายนั่นเอง นอกจากช้างแล้ว ชาวอินเดียทั้งหลายก็นับถือเบี้ยจั่น ว่าเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระแม่ลักษมีมาแต่โบราณ ซึ่งจะเก่าแก่เท่าใดก็ไม่ทราบได้ แต่อย่างน้อยต้องเก่าถึงสมัยที่ยังใช้เบี้ยจั่นแทนเงินตรากันอยู่ เพราะว่าพระนางทรงเป็นเทวีแห่งโภคทรัพย์ ความร่ำรวย จึงย่อมทรงเกี่ยวข้องกับเงินตรา ซึ่งแทนด้วยเบี้ยจั่นนั้น
การที่พระแม่ลักษมีทรงเกี่ยวข้องกับความร่ำรวย ก็เพราะพระนางทรงเป็นเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และความอุดมสมบูรณ์นั้น ถ้าจะมองอีกแง่หนึ่ง ก็หมายถึง พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เก็บเกี่ยวได้อย่างมากมาย อีกด้วย ดังนั้นเกษตรกรในอินเดียจึงบูชาพระแม่ลักษมีในภาคที่เป็น พระแม่โพสพ ดังมีพระนามในการนี้โดยเฉพาะว่า พระธัญญลักษมี (Dhanya Lakshmi)
มีตำนานเกี่ยวกับพระธัญญลักษมีที่เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเกิดทุกขภัยแห้งแล้งกันดารขึ้นในโลก เวลานั้นแสงอาทิตย์ร้อนแรงจนผู้คนออกจากบ้านไม่ได้ เมื่อถึงยามค่ำคืนบรรดาเกษตรกรจึงพากันบูชาพระวิษณุ หากแต่เวลานั้นพระวิษณุบรรทมหลับอยู่ ไม่ได้ยินเสียงวิงวอนของผู้คนในโลก
แต่พระลักษมีทรงได้ยิน และเนื่องจากไม่กล้าปลุกบรรทม พระแม่ลักษมีจึงแบ่งภาคมาเป็น พระแม่โพสพ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก โดยทรงนำมหาสังข์ใส้น้ำมาโปรยปรายเป็นฝน และเนรมิตข้าวในนาให้เจริญงอกงาม เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีแก่ประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนเหลือที่จะพรรณนาได้
การบูชาพระแม่โพสพที่เราเคยได้เรียนได้อ่านกันมา
ก็คือการบูชาพระแม่ลักษมีในปางนี้นั่นเอง

คาถาบูชาพระแม่โพสพ
โอม โพสะวะโภชะนัง อุตตะมะ ลาภัง มัยหัง สัพพะสิทธิ หิตัง โหตุ





อ้างอิงจาก http://www.siamganesh.com/laksmi.html